วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

100 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับมัมมี่



100 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับมัมมี่

                   

มัมมี่คืออะไร
1.  มัมมี่คือศพที่ไม่เน่าเปื่อย มัมมี่ธรรมชาติเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุทางธรรมชาติ เช่น การแช่แข็ง การตากแห้ง หรือการแช่น้ำ ส่วนมัมมี่เทียมคือ มัมมี่ที่มนุษย์ตั้งใจทำขึ้นโดยใช้วิธีการต่างๆ เพื่อรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อย มัมมี่เทียมซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ มัมมี่ที่ทำขึ้นในอียิปต์โบราณ เมื่อนานมาแล้ว นักเดินทางจากเปอร์เซีย(ปัจจุบันคือ อิหร่าน) คิดว่าสารเหนียวๆ สีดำที่เรียกว่า บิทิวเมนคือ วัตถุดิบที่ใช้ทำมัมมี่อียิปต์ ภาษาเปอร์เซียของคำว่า บิทิวเมน คือมัมเมีย ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า มัมมี่ในภาษาอังกฤษ

มัมมี่ยุคแรก
2. มัมมี่เทียมยุคแรกเกิดขึ้นเมื่อ 7,000 ปีมาแล้ว โดยชาวชินวอร์โร แห่งทวีปอเมริกาใต้ ชนกลุ่มนี้ได้ชื่อตามสถานที่แห่งหนึ่งในประเทศชิลี ณ ที่แห่งนั้น นักวิทยาศาสตร์ได้พบร่องรอยการดำเนินชีวิตของชาวชินชอร์โรพวกเขาเป็นชาว ประมงที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนเล็กๆ ริมชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก

3. เชื่อกันว่า ชาวชินชอร์โรทำมัมมี่ขึ้นเพราะ เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย พวกเขาพยายามทำให้มัมมี่ดูเหมือนมีชีวิตมากที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ต้องการร่างกายของคนผู้นั้นเน่าเปื่อย บางทีคนกลุ่มนี้อาจเชื่อว่าคนตายจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นได้หากศพได้รับการรักษา ไว้

4. ในการทำมัมมี่ ชาวชินชอร์โรจะนำอวัยวะภายในทั้งหมดออกจากศพเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเลาะเนื้อและหนังออกจากกระดูกปล่อยทิ้งไว้จนแห้งแล้วจึงใช้ไม้ เล็กๆ ผูกติดกับแขน ขา และกระดูกสันหลัง เพื่อยึดกระดูกส่วนต่างๆ ไว้ด้วยกัน จากนั้นจึงนำโคลนสีขาวมาพอกบนโครงกระดูกเพื่อทำให้เป็นรูปเป็นร่าง นำผิวหนังบริเวณใบหน้ากลับไปปะไว้ที่เดิม เช่นเดียวกับหนังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เมื่อโคลนแห้งแล้ว จึงทาด้วยสีดำหรือแดง

5. ชาวชินชอร์โรทำมัมมี่เป็นเวลาราว 3,000 ปี มัมมี่ยุคแรกทาสีดำ แต่มัมมี่ในยุคหลังสุดเมื่อประมาณ4,000 ปีก่อน ชาวชินชอร์โรกลับทาสีแดง

6. เราพบมัมมี่ชินชอร์โรร่างแรกๆ ในปี 1917 เมื่อมีการขุดพบมัมมี่ 12 ร่างทางเหนือของชิลี และในปี1983 คนงานก่อสร้างก็พบมัมมี่จากหลุมศพโบราณดังกล่าวเพิ่มอีก มีมัมมี่ชินชอร์โรโบราณที่ขุดได้จากที่นั่น ประมาณ 100 ร่าง และยังพบมัมมี่ในบริเวณอื่นๆ ของชิลีอีกด้วย

มนุษย์น้ำแข็งแห่งยุโรป

7. มัมมี่มนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรปรู้จักกันในชื่อมนุษย์น้ำแข็ง เขาเสียชีวิตเมื่อประมาณ 5,300 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วยปลายยุคหิน นักปีนเขาพบร่างของเขานอนคว่ำหน้าอยู่บนธารน้ำแข็งบริเวณตอนเหนือของอีตาลี เมื่อปี 1991

8. มัมมี่มนุษย์น้ำแข็งถูกพบบนเทือกเขาสูงซึ่งมีอากาศหนาวจัด เดิมทีเดียวเราคิดว่า เขาเป็นคนเลี้ยงแกะหรือนายพรานที่ออกหาอาหาร หรือกระทั่งนักเดินทางที่กำลังรอนแรม แต่ในปี 2001 มีการตรวจพบหัวธนูฝังอยู่ในไหล่ซ้ายของเขา จึงสันนิษฐานว่าเขาคงจะหนึศัตรูขึ้นไปบนเขา

9.ในยุคที่มนุษย์น้ำแข็ง มีชีวิตอยู่ ลูกธนูที่ใช้มีหัวธนูปลายแหลมทำจากหินเหล็กไฟ(หินชนิดหนึ่ง) และหัวธนูหินเหล็กไฟก็คืออาวุธที่ทำให้มนุษย์น้ำแข็งบาดเจ็บ มันแทงทะลุเสื้อผ้าๆปฝังอยู่ในหัวไหล่ข้างซ้าย ทำให้เกิดแผลฉกรรจ์ มนุษย์น้ำแข็งดึงก้านธนูอันยาวออกได้ แต่หัวธนูยังคงปักคาอยู่ในบาดแผลดังกล่าวคงเป็นเหตุให้เขาหมดแรง และถึงแก่ความต่างในที่สุด

10.  น้ำแข็งช่วยรักษาเสื้อผ้าของมัมมี่ด้วยเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ได้เห็นการแต่งกายของมนุษย์ยุคหิน มนุษย์น้ำแข็งสวมเครื่องห่อหุ้มขาและรองเท้าทำจากนังสัตว์สวมเสื้อคลุมหนัง แพะ หมวกหนังหมี และผ้าคลุมทำด้วยหญ้าถัก สิ่งเหล่านี้ช่วยให้มนุษย์น้ำแข็งอบอุ่น ท่ามกลางอากาศอันเหน็บหนาว

11.  เราพบข้าวของมนุษย์น้ำแข็งอยู่ใกล้ๆ ตัวเขาด้วย เขาพกขวานทองแดง มีดที่ทำด้วยหินเหล็กไฟ คันธนูกับกระบอกบรรจะลูกธนูสิบสี่ดอก นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าหนังใส่หญ้าแห้งซึ่งคงเอาไว้เป็นเชื้อไฟ ถ้ามนุษย์น้ำแข็งเป็นพราน เขาก็คงฆ่าสัตว์ต่างๆ เช่น ไอเบ็กซ์ภูเขา (แพะชนิดหนึ่ง) ด้วยลูกธนูเหล่านั้น

12.  ปัจจุบันมัมมี่มนุษย์น้ำแข็งและเสื้อผ้าเครื่องใช้ต่างๆ ของเขาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งหนึ่งทางเหนือของอิตาลี นักท่องเที่ยวสามารถส่องหน้าต่างบานเล็กเพื่อดูมนุษย์น้ำแข็งซึ่งแช่อยู่ใน ห้องเก็บความเย็นพิเศษ เราปล่อยให้มัมมี่ร่างนี้ละลายไม่ได้เด็ดขาด เพราะการละลายจะทำให้ร่างของเขาเน่าเปื่อย

ศพจากพรุ

13.  พบมัมมี่จำนวนมากในพรุถ่านพีตทางตอนเหนือของยุโรป ถ่านพีตคือวัตถุลักษณะคล้ายดินเกิดจากต้นไม้ใบหญ้าที่ร่วงลงในแอ่งน้ำจมลง สู่ก้นแอ่งที่มีซากผุพังของพืชพรรณทับถมอยู่มากเรียกว่า พรุ ก่อนจะค่อยๆ กลายสภาพเป็นถ่านหินเลน หากเราทิ้งร่างผู้เสียชีวิตลงในพรุ ร่างนั้นอาจกลายเป็นมัมมี่ เนื่องจากในพรุมีออกซิเจนหรือแบคทีเรียน้อยเกินกว่าจะทำให้ร่างกายเน่า เปื่อยได้

14.  ศพหรือมัมมี่จากพรุมักถูกขุดพบเมื่อมีการขุดถ่านพีตขึ้นมา หนึ่งในศพจากพรุที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดขุพบที่เมืองโทลลุนด์ของเดนมาร์ก เมื่อปี 1950 มนุษย์โทลลุนด์ซึ่งเป็นชื่อทีเราเรียกมัมมี่ร่างนี้ เสียชีวิตเมื่อ 2,300 ปีก่อน รอบคอของเขามีบ่วงหนังคล้องอยู่ เขาถูกแขวนคอซึ่งอาจเป็นการบูชายัญถวายเทพเจ้าก็ได้ จากนั้นก็ถูกโดยลงพรุตลอดเวลาอันยาวนาน ใบหน้าของเขาได้รับการรักษาสภาพไว้อย่างสมบูรณ์ แม้กระทั่งเคราที่คางด้วย

15.  มนุษย์เกราบัลล์เป็นมัมมี่อีกร่างที่พบในพรุถ่านพีตของเดินมาร์ก คนงานเหมืองพีตขุดพบร่างนี้ใกล้หมู่บ้านเกราบัลล์เมื่อปี 1852 มนุษย์เกราบัลล์ถูกบั่นศีรษะเมื่อประมาณ 2,300 ปีก่อน และเสียเลือดจนตาย ร่างของเขาถูกโยนลงพรุที่ธรรมชาติช่วยรักษาสภาพศพไว้อย่างดี จนกระทั่งมีการค้นพบ

16.  มีการพบศพจากพรุในเยอรมนีเช่นกัน ที่เมืองวินเดบี เราพบศพเด็กหญิงวัยรุ่นซึ่งเสียชีวิตเมื่อ1,900 ปีก่อน โดยมีผ้าผูกตาอยู่ ดูเหมือนเธอจะถูกนำตัวไปยังพรุ ปิดตาและถ่วงให้จมลงสู่กันพรุด้วยการนำก้อนหินหนักและขอนไม้ทับบนร่าง

17.  พบศพจากพรุของเด็กหญิงวัยรุ่นอีกคนที่เนเธอร์แลนด์ เด็กสาวที่ได้ชื่อว่า ไอเด ถูกแทงรัดคอและโยนลงพรุ เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อน ศิลปินทางการแพทย์ปั้นกระโหลกจำลองและพอกขี้ผึ้งลงไป เพื่อสร้างใบหน้าของเธอขึ้นใหม่ แบบจำลองนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์รู้ว่า เธออาจมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรเมื่อครั้งที่เสียชีวิต

มนุษย์ลินโดว์

18.  พบศพจากพรุของชายผู้หนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษเมื่อปี 1984 คนงานตัดพีตพบร่างมัมมี่ร่างนี้ที่ลินโดว์มอส ในเชส์เชียร์ เขาได้ชื่อว่า มนุษย์ลินโดว์ แต่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเรียกว่า พีต มาร์ช (marsh แปลว่า หนองน้ำ) เพราะพรุถ่านพีตเป็นเขนชุ่มน้ำที่มีน้ำขังตลอดเวลา ขณะนี้มนุษย์ลินโดว์ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอังกฤษในกรุง ลอนดอน

19.  มนุษย์ลินโดว์อายุประมาณ 20 ปีตอนเสียชีวิต ชีวิตอันสั้นของเขาสิ้นสุดลงเมื่อประมาณ 1,900ปีที่แล้ว หลังจากสิ้นใจ ศพของเขาถูกโยนลงพรุและจมดิ่งอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั้งคนงานตัดพีทไปพบเข้า

20.  มนุษย์ลินโดว์ไม้ได้ตายอย่างสงบ ก่อนตายเขากินอาหารเจือสารพิษจากต้นมิสเทิลโทเข้าไป เราบอกไม่ได้ว่าเป็นการวางยาหรือเป็นอุบัติเหตุกันแน่ แต่รอยแผลบนร่างแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวาระสุดท้ายของชีวิต เขาถูกตีศีรษะอย่างแรง คอถูกเชือกรัดจนหายใจไม่ออก ก่อนถูกปาดคอซ้ำเพื่อให้มั่นใจว่าตายแน่ๆ

21.  ต้องใช้เวลาถึง ปี กว่าจะพบชิ้นส่วนร่างกายส่วนใหญ่ของมนุษย์ลินโดว์ เครื่องตัดถ่านพีตได้ตัดร่างของมนุษย์ลินโดว์ออกเป็นชิ้นๆ เราพบชิ้นส่วนแต่ละชิ้นในเวลาต่างกัน เช่น ร่างท่อนบนจากเอวขึ้นไปพบเมื่อปี 1984 ต่อมาอีกสี่ปีจึงพบขาซ้าย ส่วนขาขวายังคงหายไป ซึ่งเป็นไปได้ว่ายังคงฝังอยู่ในพรุถ่านพีต

22.  ในสมัยของมนุษย์ลินโดว์มีการถวายเครื่องสังเวยแด่เทพเจ้า เครื่องสังเวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การบูชายัญมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ลินโดว์ เมื่อกินอาหารผสมมิสเทิลโทเข้าไปเขาก็เสียชีวิตและถูกโยนลงพรุ คนสมัยนั้นเชื่อว่าเขาจะเดินทางจากโลกนี้ไปสู่โลกของเทพเจ้า

มัมมี่แห่งอียิปต์โบราณ

23.  มัมมี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือมัมมี่ที่ทำในอียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์เป็นนักดองศพผู้เชี่ยวชาญ มีการทำมัมมี่ ให้ทั้งฟาโรห์และคนสามัญ รวมถึงสัตว์อีกหลายชนิดด้วย

24.  ชาวอียิปต์ทำมัมมี่เพราะเชื่อว่าผู้ตายต้องการร่างไว้สำหรับชีวิตใหม่หลัง ความตาย พวกเขาเชื่อว่า คนจะมีชีวิตนิรันดร์บนสรวงสวรรค์ได้โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องรักษาร่างกายไว้ เท่านั้น ชาวอียิปต์ทุกคนปรารถนาจะขึ้นสวรรค์หลังจากสิ้นชีวิต จึงยอมยุ่งยากวุ่นวายเพื่อเก็บรักษาร่างของผู้เสียชีวิตเอาไว้

25.  มัมมี่ยุคแรกของอียิปต์โบราณเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อมีคนตาย ศพของเขาจะถูกฝังในหลุมใต้ทะเลทรายพร้อมข้าวของเครื่องใช้ที่จะนำติดตัวไป ใช้ในชาติหน้าเนื่องจากทรายนั้นร้อนและแห้งเนื้อหนังของศพจึงไม่เน่าเปื่อย แต่กลับแห้งและเหี่ยวย่นจนติดกระดูกด้วยเหตุนี้ศพจึงกลายเป็นมัมมี่ มัมมี่ธรรมชาติของอียิปต์มีอายุประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช

26.  ชาวอียิปต์โบราณทำมัมมี่เทียมเป็นครั้งแรกราว 3,400 ปีก่อนคริสต์ศักราช มัมมี่ยุคหลังสุดมีอายุราวปี ค.ศ. 400 ซึ่งหมายความว่า ชาวอียิปต์ทำมัมมี่ถูกมองว่าเป็นการกระทำนอกรีต(ผิดหลังของคริสต์ศาสนา)

27.  เมื่อมีคนพบหลุมศพโบราณซึ่งอาจเป็นโจรที่ต้องการขโมยสมบัติในหลุม พวกเขาต้องแปลกใจ เพราะแทนที่จะเจอโครงกระดูก พวกเขากลับขุดร่างแห้งกรังซึ่งยังคงอูเหมือนมนุษย์ทุกประการ นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชาวอียิปต์โบราณฉุกคิดว่า พวกเขาน่าจะหาวิธีรักษาสภาพศพของตัวเองได้บ้าง

มัมมี่ร่างแรกของอียิปต์

28.  ชาวอียิปต์โบราณมีตำนานเล่าขานเรื่องกำเนิดมัมมี่ร่างแรกสุด เป็นเรื่องของโอซิริสผู้ครองอียิปต์ตำนานนั้นอธิบายว่าโอซิริสกลายเป็น มัมมี่ร่างแรกได้อย่างไร และเมื่อพระองค์เป็นมัมมี่ ผู้คนก็เลยปรารถนาจะทำตามแบบอย่างและต้องการให้ร่างตนเองกลายเป็นมัมมี่ เมื่อสิ้นชีวิต

29.  เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อโอซิริสถูกฆาตกรรม โอซิริสมีน้องชายใจโฉดชื่อเซธ วันหนึ่งเซธหลอกให้โอซิริสลงไปนอนในกล่องใบหนึ่ง ซึ่งกล่องใบนั้นความจริงก็คือโลง เซธปิดฝาและโยนโลงนั้นลงแม่น้ำไนล์ ทำให้โอซิริสจนน้ำตาย เซธฆ่าโอซิริสด้วยความริษยา เพราะรู้สึกว่าชาวอียิปต์รักใคร่เทิดทูนโอซิริสมากกว่าตน

30.  ไอซิสซึ่งเป็นพระมเหสีของโอซิริสทนไม่ได้ที่ต้องพรากจากพระสวามี นางเที่ยวค้นหาพระศพของโอซิริสไปทั่วอียิปต์และเมื่อพบแล้วก็นำพระศพของโอซิ ริสกลับมา ไอซิสรู้ว่าเซธจะต้องโกรธจัดถ้ารู้ว่านางทำอะไรลงไป นางจึงนำพระศพของโอซิริสไปซ่อน

31.  แต่เซธก็รู้ความจริงและนำพระศพของโอซิริสออกจากที่ซ่อน เซธหั่นพระศพโอซิริสออกเป็น 14ชิ้น และนำชิ้นส่วนต่างๆ ไปทิ้งกระจัดกระจายทั่วแผ่นดินอียิปต์โดยคิดว่าตนสามารถกำจัดโอซิริสได้ สำเร็จในที่สุด

32.  เซธอาจกำจัดโอซิริสได้ แต่ไม่อาจทำลายความรักที่ไอซิสมีต่อโอซิริส ไอซิสออกตามหาโอซิริสอีกครั้ง โดยแปลงร่างเป็นเหยี่ยวดำ (นกนักล่าชนิดหนึ่ง) และเหินขึ้นไปเหนืออียิปต์เพื่อมองหาว่าเซธนำชิ้นส่วนต่างๆ ไปซ่อนไว้ที่ไหน นางค้นหาชิ้นส่วนของโอซิริสพบทีละชิ้นๆ ยกเว้นชิ้นเดียวที่ถูกปลากินไป

33.  ไอซิสรวบรวมชิ้นส่วนของพระศพเข้าด้วยกัน นางร้องไห้คร่ำครวญเมื่อมองพระศพของโอซิริส เมื่อองค์สุริยเทพเรเห็นน้ำตาของนางจึงส่งเทพอนูบิสและทอธมาช่วยเทพพันชิ้น ส่วนของโอซิริสด้วยผ้า จากนั้นไอซิส อนูบิส และทอธ ก็ช่วยกันนำชิ้นส่วนแต่ละชิ้นออกมาเรียงเป็นรูปร่างของโอซิริส แล้วใช้ผ้าพันชิ้นส่วนทั้งหมด กลายเป็นมัมมี่ร่างแรกไอซิสจุมพิตมัมมี่ และโอซิริสก็ถือกำเนิดใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ หากมีชีวิตนิรันดร์ในโลกหลังความตายในฐานะเจ้าแห่งผู้วายชนม์

งานที่ซับซ้อนวุ่นวาย

34.  อียิปต์ทำมัมมี่เป็นเวลายาวนาน เกือบ 4,000 ปี ช่างทำมัมมี่ได้ทดลองวิธีต่างๆ ในการรักษาสภาพศพเอาไว้ บางวิธีก็ได้ผลดีกว่าวิธีอื่นๆ มัมมี่ที่ดีที่สุดเกิดขึ้นในช่วงประวัติศาสตร์อียิปต์ซึ่งเราเรียกกันว่าราช อาณาจักรใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่าง 3,550 ถึง 3,069 ปีก่อน

35.  ชาวกรีกโบราณที่ชื่อเฮโรโดตัสได้บันทึกวิธีการหนึ่งที่ชาวอียิปต์ใช้ทำ มัมมี่ เฮโรโดตัส เดินทางไปอียิปต์เมื่อ 400 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีผู้บอกเขาว่าต้องใช้เวลา 70 วันในการทำมัมมี่ร่างหนึ่ง โดยใช้เวลาทำความสะอาดศพ 15 วัน รอให้ศพแห้ง 40 วัน และพันศพอีก 15 วัน

36.  คนทำมัมมี่ทำงานในกระโจมเปิดโล่ง ห้องปฏิบัติการง่ายๆ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านและชุมชนเมือง จะอยู่ตามริมฝี่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ การเปิดกระโจมให้โล่งก็เพื่อให้ลมพักกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ไป และที่ต้องอยู่ใกล้แม่น้ำ เพราะขั้นตอนการทำมัมมี่จะเป็นต้องใช้น้ำ

37.  ทักษะในการทำมัมมี่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น นี่เป็นงานของบุรุษเพศเท่านั้น จึงเป็นหน้าที่ของบิดาที่จะต้องฝึกสอนบุตรชายซึ่งจะเรียนรู้โดยสังเกตการทำ งานของบิดา บุตรชายของช่างผ่าหรือผู้มีหน้าที่ผ่าศพเป็นคนแรกจะรับหน้าที่เป็นช่างผ่า สืบต่อไปเช่นกัน

38.  ช่วง 15 วันแรกของการทำมัมมี่เป็นการทำความสะอาดศพ ในกระโจมทำความสะอาดศพจะถูกชิระล้างด้วยน้ำเกลือก่อนจะนำไปยังกระโจมเสริม ความงาม ซึ่งเป็นจุดที่ดึงสมองออกทิ้งจากนั้นจึงแหวะช่องทางซ้ายของศพ เพื่อนำตับ ปอด ลำไส้ และกระเพาะ ออกมาและเก็บรักษาไว้

39.  หัวใจจะถูกทิ้งไว้ในร่าง ชาวอียิปต์คิดว่า หัวใจคือศูนย์กลางความเฉลียวฉลาด พวกเขาเชื่อว่า หัวใจเป็นสิ่งจำเป็นในการนำทางบุคคลนั้นในชีวิตหน้า หากหัวใจถูกควักออกมาด้วยความเผลอ ก็ต้องใส่กลับเข้าไป ไตเป็นอีกอวัยวะหนึ่งที่ปล่อยไว้ในร่างของผู้ตายดังเดิม

การทำให้ศพแห้ง

40.  เมื่อนำอวัยวะภายในออกจากศพแล้วต่อไปคือการทำให้ศพแห้ง ช่างทำมัมมี่ใช้เกลือพิเศษชนิดหนึ่ง เรียกว่า นาตรอน เป็นตัวทำให้แห้ง เกลือดังกล่าวมีลักษณะเป็นผงสีขาว พบตามชายฝั่งทะเลสาบทางเหนือของอียิปต์ เกลือนาตรอนจะถูกเก็บใส่ตะกร้า แล้วนำไปส่งให้ช่างทำมัมมี่

41.  ที่กระโจมทำมัมมี่มีถุงผ้าลินินเล็กๆ บรรจุเกลือนาตรอนอยู่จำนวนมาก ถุงเหล่านี้จะถูกอัดเข้าไปในศพที่ว่างเปล่าทางช่องที่กรีดเพื่อนำอวัยวะภาย ในออก นอกจากเกลือนาตรอนแล้ว ยังมีการใส่เศษผ้า ฟาง หญ้าแห้ง และขี้เลื่อยเข้าไป เพื่อช่วยให้ศพมีรูปร่างเหมือนคนจริงๆ

42.  ขั้นต่อไปคือการจัดให้ศพนอนหงายบนโต๊ะและโรยเกลือนาตรอนเป็นชั้นหนาจนกลบจน มิด ไม่ให้มีเนื้อส่วนใดโผล่ออกมาให้เห็นจากนั้นจึงปล่อยให้ศพแห้งอยู่ใต้เกลือ นาตรอนเป็นเวลา 40 วัน

43.  ตับ ปอด ลำไส้ และกระเพาะ ถูกทำให้แห้งเช่นกัน อวัยวะแต่ละส่วนนี้จะแยกเก็บในภาชนะดินเผาคนละใบ หมักเกลือนาตรอนและทิ้งไว้ 40 วัน เพื่อให้เกลือนาตรอนช่วยทำให้แห้งเช่นเดียวกับศพ

44.  เดิมทีชาวประมงใช้เกลือนาตรอนทำให้ปลาที่จับได้แห้ง พวกเขารู้ว่าผลึกใสรสเค็มของเกลือนาตรอนช่วยดูดซับน้ำออกจากปลาที่ตาย ทำให้ปลาแห้ง เมื่อถูกทำให้แห้งหรือทำให้เค็ม ปลาจะไม่เน่า 
ด้วยเหตุนี้ช่างทำมัมมี่จึงเริ่มนำเกลือนาตรอน มารักษาสภาพศพ

45.  ในช่วง 40 วันที่รอให้ศพแห้ง เกลือนาตรอนจะดูดน้ำออกจากศพ และเมื่อครบกำหนด ช่างทำมัมมี่จะโกยเกลือนาตรอนออก นำวัสดุที่ยัดใส่ไว้ในศพออกมา ศพที่แห้งแล้วจะสูญเสียน้ำหนักไปจากเดินประมาณสามในสี่ และจะหดตัวแข็งมีสีน้ำเงินอมดำ ดูไม่เหมือนร่างกายมนุษย์เลย

พันมิดชิดจากศีรษะจรดปลายเท้า

46.  งานขั้นต่อไปคือการทำให้ศพดูเหมือนมีชีวิต ด้วยการเติมเต็มช่องโพรงต่างๆ ของร่างกายขัดผิวด้วยน้ำมัน และเครื่องเทศเพื่อให้นุ่มและหอมเสร็จแล้วจึงใส่ตาปลอม วิกผม และแต่งหน้า สุดท้ายจะอาบศพด้วยยางไม้ซึ่งจะจับตัวเป็นชั้นแข็งๆ เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของรา

47.  อวัยวะภายในที่แห้งแล้วจะห่อผ้าลินินใส่ไว้ในไหคาโนปิก ปอดเก็บไว้ในไหที่มีฝาเป็นรูปลิง(เทพฮาปิ)กระเพาะใส่ไหรูปหมาใน (เทพดูอามูเทฟ)ตับใส่ไหที่มีฝาเป็นมนุษย์ (เทพอิมเซติ) ลำไส้ใส่ไหรูปเหยี่ยว (เทพกีเบเซนูฟ)

48.  รอยผ่าด้านซ้ายของศพมักไม่เย็บติดกันดังเดิม แต่จะปิดไว้ด้วยแผ่นขี้ผึ้งเขียนลายที่รู้จักกันในชื่อดวงตาของโฮรัส ชาวอียิปต์เชื่อว่า ดวงตานี้มีพลังเห็นปิศาจและป้องกันไม่ให้ปิศาจเข้าสู่ร่างของผู้ตายทางรอย ผ่านั้น

49.  ส่วนสุดท้ายของขั้นตอนคือการพันห่อศพ ซึ่งต้องใช้เวลา 15 วัน ศพถูกพันด้วยแถบผ้าลินินขนาดกว้าง 6-20 เซนติเมตร การพันศพมีวิธีที่กำหนดไว้ชัดเจนคือ ต้องเริ่มจากศีรษะก่อนเสมอจนกระทั่งสุดท้ายจึงใช้ผ้าลินินผืนใหญ่ห่อร่างไว้ อีกชั้น ก่อนจะมัดตราสังด้วยแถบผ้าลินิน

50.  ขณะที่พันจะมีการบรรจุเครื่องรางของขลังไว้ระหว่างผ้าลินินแต่ละชิ้น เพื่อป้องกันเจ้าของร่างจากอันตรายในการเดินทางสู่ชีวิตหลังความตาย คาถาอาคมที่จารึกบนแถบผ้าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการปกป้องศพ หลังจากห่อเสร็จแล้วจะมีการอาบยางไม้เพื่อกันไม่ให้น้ำเข้า ขั้นตอนสุดท้ายคือการสวมหน้ากากปิดหน้า

สุสานและโจรปล้นสุสาน

51.  ศพจะนำไปบรรจุในโลงไม้ โลงศพทั่วไปจะเป็นไม้กระดานธรรมดา ส่วนโลงราคาแพงจะทำเป็นรูปร่างของมนุษย์ มีการลงคาถาอาคมกำกับและวาดภาพการเดินทางสู่ชีวิตหลังความตายไว้ภายในโลง

52.  พระศพของฟาโรห์ยุคแรกสุดถูกฝังในสุสาน เรียกว่า พีระมิด พีระมิดแห่งแรกสร้างขึ้นเมื่อราว2,650 ปีก่อนคริสต์ศักราช สำหรับฟาโรห์โจเซอร์ และตลอด 800 ปี นับจากนั้นพระศพของฟาโรห์ทุกพระองค์ได้รับการฝังไว้ในพีระมิด แต่บรรดาโจรก็หาทางเข้าไปปล้นพีระมิดดังกล่าวได้หมดทุกแห่ง พระศพของฟาโรห์ในยุคต่อมาจึงถูกอัญเชิญไปฝังในสุสานที่เจ้าเข้าไปใต้ผาหิน ซึ่งรู้จักกันในชื่อหุบผากษัตริย์ ถึงกระนั้นพวกโจรก็ยังขุดพบสุสานเหล่านี้หลายแห่ง แม้จะหาไม่พบทั้งหมดก็ตาม

53.  ในวันทำพิธีฝัง มัมมี่จะถูกนำออกจากโลงและจัดให้อยู่ในท่ายืน นักบวชผู้ทำพิธีจะใช้ตะขอหินรูปตัววายแตะที่ปาก ตา จมูก และหูของมัมมี่ ซี่งเป็นพิธีเปิดปาก เพื่อเสกให้การพูดจา การมองเห็น การได้ยิน และการรับกลิ่นของบุคคลนั้นใช้งานได้ดังเดิมในชีวิตหลังความตาย

54.  มัมมี่จะถูกฝังพร้อมเครื่องใช้ประจำหลุมศพ ซึ่งก็คือสิ่งที่เตรียมให้ผู้ตายไปใช้ในโลกหน้า สามัญชนจะถูกฝังพร้อมข้างของหลักๆ เช่นอาหารและเครื่องดื่ม แต่ฟาโรห์หรือผู้มีฐานะจะถูกฝังพร้อมของทุกอย่างที่จำเป็นในชีวิตหน้า เช่น เครื่องเรือน เสื้อผ้า อาวุธ เครื่องเพชร และเครื่องดนตรี เป็นต้น

55.  สุสานเป็นสถานที่ล่อตาล่อใจโจรผู้ร้ายยิ่งนัก เหล่ามิจฉาชีพรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน จึงยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อเข้าไปขโมยของมีค่าต่างๆแม้กระทั่งร่างมัมมี่เอง ก็ยังไม่ปลอดภัย เพราะโจรจะทุบหีบศพจนแตก ตัดผ้าห่อศพออกเพื่อเอาหน้ากาก เครื่องรางและเพชรนิลจินดา การปล้น สุสานถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ โจรที่ถูกจับได้จะต้องโทษประหาร

ตุตันคามุน ยุวฟาโรห์

56.  ตุตันคามุนเป็นฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงที่สุดองค์หนึ่งของอียิปต์ พระองค์เป็นกษัตริย์เมื่อ 1,334 ปีก่อนคริสต์ศักราช ขณะมีพระชนมายุเพียงแปดพรรษา เนื่องจากทรงพระเยาว์เกินกว่าจะรับผิดชอบงานสำคัญในการปกครองอียิปต์ได้ จึงมีมนตรีสองคนรับผิดชอบแทน คือ ไอย์ ผู้เป็นมุขมนตรี และโฮเรมเฮบ ผู้
บัญชาการกองทัพ ทั้งสองจะตัดสินใจ เรื่องต่างๆ แทนฟาโรห์ตุตันคามุน

57.  ตุตันคามุนครองบัลลังก์ฟาโรห์ได้ราวเก้าปี พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อมีพระชนมายุ 17 พรรษา พระศพได้รับการทำมัมมี่และฝังในสุสานที่เจาะเข้าไปด้านหน้าของหุบผาแห่ง หนึ่ง ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพฟาโรห์หลายพระองค์ เรียกกันว่า หุบผากษัตริย์ พระศพของตุตันคามุนถูกฝังพร้อมทรับพย์สินล้ำค่าสำหรับทรงใช้ในปรภาพ

58.  สุสานในหุบผากษัตริย์สร้างขึ้นโดยตั้งใจให้เป็นความลับ ถึงกระนั้นพวกหัวขโมยก็หาพบและขโมยของมีค่าไปจนหมด พวกนั้นจะพบสุสานตะตันคามุน แต่แล้วก็ถูกจับได้ก่อนจะสร้างความเสียหายได้มากนัก หลายปีต่อมา ขณะที่กำลังมีการขุดสุสานฟาโรห์ของฟาโรห์รามเสสที่หก ได้เกิดหินถล่มลงไปในหุบผาและปิดทางเข้าสุสานตุตันคามุนเนียสนิทหลังจากนั้น สุสานของพระองค์ก็ถูกลืมเลือน

59.  ในปี 1992 นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ชื่อเฮาเวิร์ดคาร์เตอร์ ค้นพบสุสานของตุตันคามุน เขาใช้เวาค้นหาอยู่หลายปี จนนักโบราณคดีคนอื่นๆ คิดว่าเสียเวลาเปล่า พวกเขาเห็นว่ามีการค้นพบสุสานในหุบผากษัตริย์หมดทุกแห่งแล้ว แต่คาร์เตอร์ก็ไม่ละความพยายาม และในเดือนพฤศจิกายน ปี 1922เขาก็พบบันไดที่ทอดไปสู่ประตูสุสานแห่งหนึ่ง

60.  หลังประตูบานนั้นเป็นทางเดิน สุดทางเดินเป็นประตูบานที่สองซึ่งคาร์เตอร์ได้เจาะรู และเมื่อมองผ่านรูนั้นเข้าไป เขาก็บอกว่าได้เห็น ส่งน่าอัศจรรย์มากมาย ต้องใช้เวลาถึงสิบปีในการเคลื่อนย้ายทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกจากสุสาน ซึ่งมีเครื่องเพชรและบัลลังก์ทองคำรวมอยู่ด้วย หน้ากากทองคำที่ครอบพระเศียรและพระอังสาขององค์ฟาโรห์นั้นทำด้วยทองคำแท้ หนัก 10 กิโลกรัม

มัมมี่ที่มีชื่อเสียง

61.  มัมมี่ของฟาโรห์รามเสสที่สองขุดพบในปี 1871 เดิมถูกฝังในสุสาน แต่ถูกย้ายที่เพื่อป้องกันการโจรกรรม ฟาโรห์รามเสสที่สองมีพระทนต์ไม่ดี ซึ่งอาจเกิดจากการเสวยขนมปังหยาบ พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อมีพระชนมายุ 80 พรรษาเศษโดยประชวรด้วยโรคไขข้ออักเสบ ซึ่งคงทำให้ทรงทุกข์ทรมานจากพระอาการปวดข้อ ในปี 1976 มัมมี่ของพระองค์ถูกส่งไปยังฝรั่งเศสเพื่อหาทางยับยั้งเชื้อรามิให้สร้าง ความเสียหาย

62.  มัมมี่ 1770 อยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแมนเชสเตอร์ในสหราชอาณาจักร เป็นมัมมี่ของเด็กสาววัยรุ่น ผู้ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของเธอ เท้าและท่อนขาช่วงล่างทั้งสองข้างขาดหาย แต่ช่างทำมัมมี่ทำขาปลอมเพื่อให้ร่างของเธอสมประกอบ สาเหตุการตายของเธอเป็นปริศนา เธออาจถูกจรเข้หรือฮิปโปกัดขณะเล่นน้ำในแม่น้ำไนล์ เมื่อ 3,000 ปีที่แล้วก็ได้

63.  ลาที่ตกหลุมดักช่วยให้พบมัมมี่หลายพันร่าง เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1996 เมื่อลาตัวหนึ่งลื่นตกลงไปติดอยู่ในโพรงที่โอเอซิสบาฮารียาในอียิปต์ เจ้าของช่วยมันเป็นอิสระ ก่อนจะปีนลงไปเจอหลุมศพใต้ดินซึ่งเต็มไปด้วยมัมมี่สามัญชนหลายพันร่างสถาน ที่นั้นได้ชื่อว่า หุบผามัมมี่ทองคำ เนื่อจากมัมมี่จำนวนมากสวมหน้ากากทองคำ มัมมี่เหล่านี้อายุประมาณ 2,000 ปี

64.  เจดมาเทซังค์ หรือเรียกสั้นๆ ว่าเจด เป็นมัมมี่อียิปต์ที่จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถาน หลวงออนแทรี
โอ เมืองโทรอนโต แคนาดา สตรีผู้นี้มีชีวิตอยู่เมื่อราว 850 ปีก่อนคริสต์ศักราช และมีชื่อในหนังสือประวัติศาสตร์เมื่อปี 1977 ในฐานะมัมมี่อิยิปต์ร่างแรกที่ใช้เทคโนโลยี การถ่ายภาพสแกนตัดขวางด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งตัว ภาพที่ได้เผยว่า เจดมีอาการขากรรไกรอักเสบรุนแรงซึ่งอาจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเธอ

มัมมี่แห่งเปรู

65.  มีการทำมัมมี่ในเปรูซึ่งอยู่ในอเมริกาใต้มาหลายร้อยปีแล้ว มัมมี่ยุคแรกทำขึ้นในช่วง 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช และยุคสุดท้ายน่าจะราวต้นศตวรรษที่สิบหก ร่างของมัมมี่อยู่ในท่านั่ง ชันเข่าทั้งสองขึ้นจรดคาง พันผ้าหลายชั้นเพื่อให้เป็น ห่อมัมมี่ ศพถูกรักษาสภาพอยู่ได้ด้วยสภาพแวดล้อมที่แห้งและเย็น

66.  ในศตวรรษที่สิบหก ชาวอินคาแห่มัมมี่ขององค์จักรพรรดิไปตามท้องถนนในเมืองกุซโกของเปรู พวกเขาเชื่อว่า การแห่แหนทำให้วิยญาณของผู้ตายได้รักากรดูแลอย่างดี และเป็นการเสด็จองค์จักรพรรดิสู่ปรภพ ทั้งยังเชื่อด้วยว่า พิธีดังกล่าวทำให้เทพเจ้าพอพระทัยและอำนวยพรให้ผู้ที่ยังมีชีวิตสุขภาพดีและ มีความสุข

67.  ชาวอินคานำเด็กๆ ถวายเป็นเครื่องบูชาเทพเจ้า พวกเขาหวังว่า เทพเจ้าจะประทานฝนสำหรับการเพาะปลูกพืชผล สุขภาพอนามัยที่ดี และความเจริญรุ่งเรืองเป็นการตอบแทน ศพของเด็กๆ ถูกทิ้งไว้บนยอดเขาที่มีความเย็นจัด ทำให้กลายเป็นมัมมี่ ตามธรรมชาติไปอย่างช้าๆ

68.  ในปี 1995 มีการพบมัมมี่เด็กสาวชาวอินคา เธอถูกสังหารเมื่อ 500 ปีก่อนเพื่อเป็นเครื่องสังเวยแด่เทพเจ้า ศพของเธอถูกทิ้วไว้บนภูเขาอัมปาโตของเปรูซึ่งมีความสูง 6,300 เมตร พร้อมเครื่องบูชา ได้แก่ เสื้อผ้า อาหาร ทองและเงิน สภาพอากาศที่เย็นจัดช่วยรักษาศพเธอไว้

มัมมี่จากเอเชีย

69.  เมื่อกว่า 2,500 ปีก่อน ชาวปาซิริคแห่งไซบีเรียของรัสเซียฝังศพผู้นำของตนไว้ในผืนดินที่เย็นยะเยือก เป็นน้ำแข็ง ในปี 1993 หลุมศพแห่งหนึ่งของชาวปาซิริคถูกขุดค้นและภายในพบมัมมี่ร่างหนึ่งจับตัวเป็น น้ำแข็ง ร่างของ เจ้าหญิงน้ำแข็ง สวมชุดผ้าไหมและขนสัตว์ และสวมรองเท้าขี่ม้า เมื่อน้ำแข็งละลายก็ปรากฏรอยสักรูปกวางบนผิวหนังที่ร่างเธอ

70.  แม่นางเซ็งเป็นมัมมี่ร่างหนึ่งที่มีสภาพดีที่สุดของโลก มัมมี่อายุ 2,100 ปี ร่างนี้พบในจีน ศพที่อยู่ในโลกนั้นแช่ของเหลวประหลาดที่มีส่วนประกอบของปรอท (โลหะเหลวสีเงิน) โลงใบนั้นผนึกแน่นและซ้อนอยู่ในโลงอีกสองใบ โลงทั้งสามฝังอยู่ใต้เนินดินที่เป็นถ่านและโคลน สุสานที่กันน้ำและอากาศเข้าอย่างแน่นหนาแห่งนี้ช่วยรักษาสภาพศพของเธอไว้ อย่างดี

71.  มีการพบมัมมี่ในทะเลทรายตาคลามากันของจีน ทะเลทรายแห่งนี้ไม่ค่อยมีฝนตก และทรายที่เค็มก็ทำให้ศพไม่เน่าเปื่อยเป็นเรื่องประหลาดที่พบมัมมี่ในดินแดน ห่างไกลเช่นนี้ มัมมี่เหล่านั้นมีอายุประมาณ 3,000 ปี และมีหน้าตาเหมือนชาวอินโด-ยูเรเปียนไม่เหมือนคนจีน ดูเหมือนว่าเมื่อนานแสนนานมาแล้วจะมีกลุ่มชนรูปร่างสูง ผิวขาว กลุ่มหนึ่งตั้งรกรากอยู่ทางตะวันออก พวกเขาอยู่ที่นั่น ตายที่นั่น และถูกฝังที่นั่นด้วย

72.  วูคักมินห์เป็นพระสงฆ์ของชาวเวียดนาม เมื่อปี 1639 ตอนที่ใกล้มรณภาพ ท่านขังตัวเองอยู่ในกุฏิ โดยบอกพระรูปอื่นๆ ว่าขอนั่งสมาธิ ตามลำพังโดยไม่ให้ผู้ใดรบกวนสัก 100 วัน เมื่อครบกำหนดแล้วพระรูปอื่นก็พบว่าท่านมรณภาพไปแล้ว ศพของท่านมีสภาพสมบูรณ์ ไม่เน่าเปื่อย และเปิดให้ผู้คนได้สักการบูชา

มัมมี่ในอเมริกาเหนือ

73.  มนุษย์ถ้ำสปิริตซึ่งมีอายุ 9,000 ปี นับเป็นมัมมี่อายุมากที่สุดร่างหนึ่ง มัมมี่นี้พบในถ้ำสปิริต รัฐเนวาดาของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1940 เขาสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์และรองเท้าหนังอ่อน โดยมีเสื่อที่ทำจากหญ้าหยาบๆ ห่อร่างไว้ อากาศที่เย็นและแห้ง ในถ้ำทำให้ศพแห้ง กลายสภาพเป็นมัมมี่ธรรมชาติ

74.  มัมมี่มนุษย์น้ำแข็งแห่งอเมริกาเหนือไม่มีแล้ว มนุษย์น้ำแข็งที่พบในแคนาดาเมื่อปี 1999 เสียชีวิตตั้งแต่ศตวรรษที่สิบห้า ธารน้ำแข็งรักษาศพของเขาให้มีสภาพดีแต่ชนพื้นเมืองในอเมริกาเหนืออ้างว่า ชายผู้นั้นเป็นบรรพบุรุษของตนและขอรับมัมมี่ร่างนั้นไปฌาปนกิจ ก่อนจะฝังเถ้าไว้ ณ บริเวณใกล้ๆ จุดที่ขุดพบ

75.  พบมัมมี่ครอบครัวหนึ่งที่กรีนแลนด์เมื่อปี 1972 ศพหญิงอินูดิตหกคนและเด็กสองคนนอนอยู่บนชั้นหิน ตั้งแต่เมื่อประมาณปี 1475 สภาพอากาศที่เย็นจัดช่วยรักษาสภาพและทำให้ศพของพวกเขาค่อยๆแห้งแข็ง

76.  เอลเมอร์ แมคเคอร์ดี เป็นโจรนอกกฏหมายชาวอเมริกาที่กลายเป็นมัมมี่ เขาถูกยิงเสียชีวิตเมื่อปี1911 หลังจากปล้นรถไฟศพของเขาถูกนำไปให้สัปเหร่อทำการรักษาสภาพศพให้แต่ไม่มีใคร มารับศพ ในที่สุดมัมมี่ของแมคเคอร์ดีก็ถูกขายให้สวนสนุกแห่งหนึ่ง เมื่อปี 1976 มีการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ในเครื่องเล่นบ้านผีสิง และปรากฏว่าหุ่น” ที่แสดงอยู่คือมัมมี่ของเอลเมอร์ แมคเคอร์ดี ในที่สุดศพของเขาก็ได้รับการฝังในปี 1977

77.  พบมัมมี่นักเดินเรือชาวอังกฤษสามคนบนพื้นน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือ พวกเขาจอห์น ทอร์ริงตันจอห์น ฮาร์ตเนลล์และวิลเลียม เบรน ซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี 1845 ระหว่างเดินทางจากอังกฤษเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือที่ตัดทะลุมหาสมุทร อาร์กติก ผลการชันสูตรเมื่อปี 1984 พบว่า พวกเขาเสียชีวิตจากพิษของสารตะกั่ว เนื่องจากกินอาหารปนเปื้อนเข้าไปศพทั้งสามได้รับการฝังดังเดิมและกลับเป็น น้ำแข็งอีกครั้งด้วยความเย็นของขั่วโลกเหนือ


มัมมี่ทั่วโลก

78. ภูเขาวิสุเวียสเป็นภูเขาไฟที่อยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี ภูเขาไฟลูกนี้ปะทุขึ้นเมื่อปี ค.ศ.79 ทำให้เมืองปอมเปดี ถูกฝังอยู่ใต้กองเถ้าและชั้นหิน มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ส่วนใหญ่เนื่องจากหายใจไม่ออก ระหว่างการขุดสำรวจเมืองนี้ นักวิทยาศาสตร์พบบริเวณที่ยุบเป็นรูปร่างของมนุษย์ และเมื่อเทปูนปลาสเตอร์ลงไปในบริเวณ ดังกล่าว ก็ปรากฏรูปร่างของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น

79. สุสานใต้ดินของโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองปาเลอร์โมบนเกาะซิชิลีมีมัมมี่มนุษย์ กว่า 2,000 ร่าง เป็นศพชาวเมืองที่ถูกฝังเมื่อกว่า 100 ปีก่อน แทนที่จะเน่าเปื่อย อากาศที่แห้งกลับทำให้ศพเหล่านั้นกลายเป็นมัมมี่ มัมมี่หลายตัวยืนพิงกำแพงทำมุมแปลกๆ และสวมเสื้อผ้าที่ใส่ในวันทำพิธีฝัง

80. มีการแสดงมัมมี่นักบุญในโบสถ์โรมันคาทอลิกหลายแห่ง โดยไม่ได้เผยให้เห็นทั้งตัวเสมอไป บางครั้งมีเพียงบางส่วนของร่างกายที่เรียกว่า อัฐิธาตุ” เท่านั้น หลายร่างเป็นมัมมี่ธรรมชาติซึ่งเป็นผลจากการอยู่ในสภาพอากาศแห้งๆนานหลายปี มีส่วนน้อยเป็นมีมมี่เทียมที่ตั้งใจรักษาร่างไว้โดยเจตนา อย่างไรก็ดี ศาสนจักรคาทอลิกเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงรักษาสภาพร่างกายของนักบุญบางคน อันเป็นประจักษ์พยานแห่งปาฏิหารย์ของพระองค์

81. เกาะปาปัวนิวกินีมีการทำมัมมี่หลายชั่วคนแล้ว เมื่อมีผู้เสียชีวิต บุคคลนั้นจะถูกจับให้อยู่ในท่านั่งยองๆ แล้วนำไปตากแดดหรือรมควันจนแห้ง การรักษาศพไว้ทำให้ชาวเกาะเชื่อว่า ญาติผู้ล่วงลับยังคงอยู่มีชีวิตกับพวกตน

82. ในญี่ปุ่นมีมัมมี่ของพระสงฆ์ประมาณ 20 ร่าง หนึ่งในนั้นคือมัมมี่ของพระเทตสึมอนไก ผู้มรณภาพเมื่อปี 1829 ช่วงสองสามปีก่อนมรณภาพภิกษุรูปนี้เริ่มตระเตรียมร่างกายของตนให้พร้อม สำหรับทำมัมมี่ โดยฉันอาหารน้อยลง เลิกฉันข้าวเจ้า ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี ถั่ว ลูกเดือย ด้วยเชื่อว่าอาหารเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกายเมื่อท่านมรณภาพ ภิกษุสงฆ์รูปอื่นๆช่วยกันจัดท่าให้ท่านนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิและทำให้ศพแห้ง

การศึกษาเรื่องมัมมี่

83. เราศึกษามัมมี่โดยการแก้ผ้าพันมัมมี่ ออกจนกระทั้งไม่นานมานี้ การแก้ผ้าพันมัมมี่อียิปต์เพื่อศึกษาเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในศคตวรรษที่ สิบเก้า และมักกระทำต่อหน้าผู้ชมโทมัส เพตติกรูว์ (1791 - 1865) เป็นศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ผู้แก้ผ้าพันมัมมี่จำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าว เขาเขียนตำราเกี่ยวกับมัมมี่อียิปต์ที่ดีที่สุดไว้หลายเล่ม

84. สมัยนี้ไม่จำเป็นต้องแก้ผ้าพันมัมมี่อีกแล้ว เราศึกษามัมมี่โดยใช้วิธีเอกซเรย์กระดูกซึ่งเผยให้เห็นรายละเอียดของเนื้อ เยื่อต่างๆ ได้อย่างชัดเจนแทน เราอาจทดสอบได้กระทั่งว่า มัมมี่เหล่านั้นสืบเชื้อสายมาจากตระกูลใด

85. นโปเลียน โบนาปาร์ต จักรพรรดิฝรั่งเศส ทรงชื่นชมมัมมี่อย่างยิ่ง เมื่อรบชนะอังกฤษในปี 1798แล้ว พระองค์กับกองทหารติดค้างอยู่ในอียิปต์พร้อมทีมนักวิทยาศาสตร์ 150 คน ผู้เริ่มศึกษาเรื่องของอียิปต์และมัมมี่อย่างจริงจัง

86. เราเรียนรู้เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บของผู้คนได้จากการศึกษามัมมี่ มัมมี่อียิปต์ได้รับการศึกษามากที่สุด และเราก็บอกได้ว่าพวกเขามีปัญหาสุขภาพมากมาย ขนมปังหยาบทำให้ฟันเสื่อม การดื่มน้ำสกปรกทำให้พยาธิเข้าสู่ร่างกาย แมลงกัดทำให้เป็นไข้ และการทำงานหนักก่อปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อ

มัมมี่สัตว์

87. อียิปต์โบราณทำมัมมี่สัตว์ด้วยเช่นกัน นกและปลาถูกทำมัมมี่เพื่อเป็นอาหารของผู้ตายในปรภพ สุนัข แมว และลิง ถูกทำมัมมี่เพื่อเป็นเพื่อนเจ้าของที่ล่วงลับ เชื่อกันว่า วัวเพศผู้บางตัวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากร่างกายเป็นที่สถิตของวิญญาณเทพเจ้า เมื่อวัวพวกนี้ล้มตายจึงถูกทำมัมมี่ฝังไว้ในสุสานใต้ดิน

88. ลูกช้างแมมมอธตัวหนึ่งในบริเวณที่เป็นน้ำแข็งของไซบีเรียเมื่อปี 1977 เราขุดพบสัตว์โบราณรูปร่างคล้ายช้างจำนวนมากในภพบไซบีเรียของรัสเซียแต่ลูก แมมมอธตัวนี้พิเศษกว่าตัวอื่นๆ เพราะมีสภาพร่างกายที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ มันล้มเมื่ออายุประมาณหนึ่งปีและได้ชื่อว่า ดิมา ตามลำธารใกล้จุดที่พบ

89. มัมมี่เก่าแก่ที่สุดของโลกคือไดโนเสาร์ นั่นคือฟอสซิลของเอ็ดมอนโตซอรัส ตัวหนึ่งพบในรัฐไวโอมิง สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1908 ไดโนเสาร์ตัวนี้ตายเมื่อ 65 ล้านปีก่อน แต่แทนที่จะเน่าเปื่อยจนเหลือแต่โครงกระดูก ร่างของมันกลับถูกอบแห้งด้วยแสงอาทิตย์เมื่อตอนที่ชาร์ลส์ สเติร์นเบิร์ก นักล่าซากดึกดำบรรพ์อเมริกันค้นพบนั้น ผิวหนังและเครื่องในของมันกลายเป็นฟอสซิลหมดแล้ว เช่นเดียวกับกระดูก

90. แมวถูกทำมัมมี่หลายพันปีมาแล้ว ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าแมวมีความเชื่อมโยงกับเทพีบาสเทตและถูกเลี้ยงไว้ สำหรับฆ่าสังเวยในพิธีทางศาสนาของวิหารต่างๆ บางครั้งเราพบมัมมี่แมวอยู่หลังกำแพงบ้านเก่าๆ ในยุโรป ความเชื่อที่ว่า แมวเป็นสัตว์นำโชค ทำให้บางครั้งมีซากแมวที่ถูกทิ้งจนแห้งเป็นมัมมี่ตามธรรมชาติฝังอยู่ในกำแพง

เรื่องราวเกี่ยวกับมัมมี่

91. ความคิดเรื่อง คำสาปมัมมี่ เริ่มขึ้นเมื่อปี 1923 หนังสือพิมพ์ในลอนดอนฉบับหนึ่งตีพิมพ์จดหมายที่ระบุว่า ผู้รบกวนสุสานของฟาโรห์จะถูกสาป ตอนนั้นเพิ่งมีการพบสุสานของตุตันคามุนและดูเหมือนผู้คนยุคนั้นจะชื่อเรื่อง คำสาปนี้ จดหมายดังกล่าวดูจะตอกย้ำความกลัวนั้น แต่ที่จริงเป็นเรื่องที่กุขึ้นทั้งหมด

92. ไม่เคยมีการใช้มัมมี่ทำหนังสือพิมพ์ มีเรื่องเล่าว่า ผ้าลินินที่ลอกออกจากร่างมัมมี่อียิปต์ถูกนำมาทำกระดาษ ทั้งยังเล่าลือต่อไปด้วยว่าหนังสือพิมพ์ในอเมริกาฉบับหนึ่งตีพิมพ์ด้วย กระดาษมัมมี่ ในช่วงศตวรรษที่สิบเก้า แม้จะฟังดูน่าตื่นเต้น แต่เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง

93. มัมมี่ไม่ได้จมเรือ ไททานิก ในปี 1912 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอังกฤษที่กรุงลอนดอนมีฝาโลงศพอียิปต์ใบหนึ่งที่รู้จัก กันในชื่อ มัมมี่เคราะห์ร้าย เพราะคนคิดว่ามัมมี่ร่างนี้ถูกสาป นักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษชื่อวิลเลียม สตีด ผู้โดยสารเรือ ไททานิกเที่ยวนั้น เล่าเรื่องเกี่ยวกับ มัมมี่เคราะร้าย ให้คนบนเรือฟังในคืนที่เรือล่ม จนมีคนเชื่อว่าสาเหตุนี้ทำให้การเดินทางเที่ยวนั้นถูกสาป

94. มัมมี่กลายเป็นดาราภาพยนตร์ ภาพยนตร์เกี่ยวกับมัมมี่เรื่องแรกสร้างขึ้นเมื่อปี 1909 มีชื่อว่า เดอะมัมมี่ออฟคิงรามเสส เป็นภาพยนตร์เงียบขาว-ดำ และนับจากนั้นก็มีการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับมัมมี่อีกมากมาย เรื่องที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งคือ เดอะมัมมี่ สร้างขึ้นเมื่อปี 1932 โดยมีบอริส คาร์ลอฟฟ์ นำแสดง

95. หนังสือเกี่ยวกับมัมมี่มีมานานตั้งแต่ปี 1827 หนังสือเรื่องเดอะมัมมี่ อะเทลออฟเดอะทเวนตี – เซกันด์เซ็นจูรี (มัมมี่ เรื่องเล่าจากศตวรรษที่22) ของเจน ลูดอน เป็นนวนิยายวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นในโลกอนาคตปี 2126 จากนั้นก็มีหนังสือเกี่ยวกับมัมมี่ออกมามากมาย เป็นหนังสือสำหรับเด็กก็มี นักเขียนชื่อแจ็คเกอลืน วิลสัน เขี้ยนเรื่อง เดอะแคทมัมมี่ (มัมมี่แมว) ซึ่งเป็นเรื่องของเด็กหญิงผู้พยายามทำมัมมี่ให้แมวของเธอที่ตายไป

มัมมี่ยุคใหม่

96. มัมมี่สมัยใหม่พบได้ในกรุงมอสโกของรัสเซียและกรุงปักกิ่งของจีน หลังจากเลนิน (วลาดิมีร์ อิลลิช เลนิน) ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปี 1924 ศพของเขาก็ถูกทำเป็นมัมมี่และนำออกให้ประชาชนเคารพในมอสโก เช่นเดียวกับประธานเหมาเจ๋อตงของจีน ผู้ถึงแก่อสัญกรรมในปี 1976 ชายทั้งสองต่างเป็นผู้นำประเทศ เมื่อพวกเขาจากไปศพจึงได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดีเพื่อให้ประชาชนได้เห็น และชื่นชม

97. ภริยาของผู้นำประเทศก็เป็นมัมมี่เช่นกัน เอวา เปรอง คือภรรยาของประธานาธิบดีอาร์เจนตินา ศพของนางได้รับการรักษาสภาพไว้หลังจากเสียชีวิตเมื่อปี 1952 ต่อมาเมื่อรัฐบาลอาร์เจนตินาถูกโค่นล้มในปี 1955 มัมมี่ของเอวาก็ถูกส่งไปยุโรปและนำกลับมาทำพิธีฝังในอาร์เจนตินาเมื่อปี 1974

98. ชายชราผู้หนึ่งถูกทำเป็นมัมมี่ในอเมริกาเมื่อปี 1994 ทีมผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งเป็นคนยุคปัจจุบันกลุ่มแรกที่ทำมัมมี่มนุษย์โดย ใช้เทคนิคของชาวอียิปต์โบราณ พวกเขาใช้เครื่องมือที่ช่างทำมัมมี่ชาวอียิปต์ใช้ เมื่อนำอวัยวะภายในออกจากศพแล้ว ร่างของศพก็ถูกทำให้แห้งด้วยเกลือนาตรอนและห่อผ้าลินิน

99. ถ้ามีเงิน 67,000 เหรียญสหรัฐฯ (2,345,000 บาท) เราก็ทำมัมมี่ของตัวเองหลังเสียชีวิตได้ แม้จะฟังดูแปลก แต่เป็นเรื่องจริง บริษัทแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาให้บริการทำมัมมี่แบบอียิปต์แก่คนทั่วไป การทำมัมมี่สุนัขหรือแมวจะมีราคาถูกลง ยิ่งสัตว์เลี้ยงมีขนาดเล็กลงเท่าใด ราคาก็ยิ่งถูกลงเท่านั้น

100. มัมมี่สัตว์ในยุคนั้นกลายเป็นงานศิลปะไปแล้ว ศิลปินชาวอังกฤษ ชื่อดาเมียน เฮิร์สต์ นำสัตว์ที่ตายแล้ว เช่น แกะ วัว และฉลาม มารักษาสภาพด้วยสารเคมีชนิดพิเศษ จากนั้นก็นำออกแสดงในห้องแสดงศิลปะให้สาธารณชนได้ชมในฐานะงานศิลปะชนิดหนึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น